วันที่ 17 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ รายงานว่า พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ กับการดำเนินคดีกลุ่มผู้ต้องหา ส่วนนายโจ้จะเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ทางตำรวจสอบสวนกลาง ได้มีการเร่งสอบสวน เพื่อหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ทั้งนี้ไม่ปฏิเสธว่าเรื่องนี้จะมีตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ ต้องรอการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเสียก่อน การที่ผู้ต้องหาได้ทำแบบนี้ถือว่าเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามตำรวจ ทางตำรวจจะเร่งไล่ล่าตัวผู้ต้องหาให้ถึงที่สุด
จากการที่เรือได้หายไป 3-4 วันนั้นมีตำรวจเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ในประเด็นนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอให้เชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ เพราะตอนนี้ดำเนินการอย่างเต็มที่ จะเร่งติดตามคดี และจับกุม ไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างแน่นอน
ซึ่งกรณีที่ของกลางได้สูญหายในขณะนี้ ยืนยันว่าจะดำเนินคดีทุกข้อกล่าวหา หากพบว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดรวมทั้งละเมิด ส่วนน้ำมันจะหายไปมากน้อยเพียงใด ขณะนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ ต้องรอการพิสูจน์ทราบจากกองพิสูจน์หลักฐานก่อน
ขณะที่ พลตำรวจตรี พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ เปิดเผยไทม์ไลน์เหตุการณ์ครั้งนี้นับตั้งแต่เรือถูกจับมา และยึดเป็นของกลาง กระทั่งหายไปและมีการตรวจพบเมื่อวานนี้ เริ่มจากวันที่ 17 มี.ค. เจ้าหน้าที่สามารถจับน้ำมันเถื่อน พาไปไว้ที่สัตหีบ ต่อมาวันที่ 19 มี.ค. บก.ปอศ. ทำหนังสือให้ดูแล ของกลางต่อ
จนวันที่ 11 มิ.ย. คนร้ายฉวยโอกาสนำเรือของกลางหนีไปถึงกัมพูชา 12 มิ.ย. ช่วงเย็นและเอาไปหลบซ่อน โดยมีการเปลี่ยนสีเรือกำไรเงิน รูปพรรณสัณฐานเรือ ทาสีเก๋งเรือ พื้นเรือจากแดง เป็นสีเขียว ซึ่งคนร้ายพยายามจะดัดแปลงเรือทุกลำ แต่เพราะรีบหนีเจ้าหน้าที่จึงเสร็จไปเพียงลำเดียว เชื่อว่าต้องการเอาเรือกลับไปใช้ใหม่ และเอาน้ำมันของกลางไปขายที่กัมพูชา ที่แน่ชัดคือ ปริมาณน้ำมันขณะนี้เหลือไม่เท่ากับตอนยึดมา
จากนั้นวันที่ 13 มิ.ย. ตำรวจน้ำมีการประสานเพื่อนบ้านทุกประเทศ ทั้ง กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย ตรวจดูเรือต้องสงสัย เชื่อว่ากลุ่มผู้ต้องหารู้ว่าตำรวจเริ่มตรวจหา จงนำเรือออกจากฝั่ง โดยผู้ต้องหาส่วนหนึ่งหนีอยู่บนฝั่ง และให้ส่วนหนึ่งบนเรือ เพราะลงเรือหนีพร้อมกันไม่ทัน ทราบว่าผู้ต้องหามีการสับเปลี่ยนไปพักผ่อนโดยจอด เรือนิ่งๆ ไม่เคลื่อนที่ให้ผิดสังเกต จนกระทั่งตำรวจเริ่มมีการกดดันในพื้นที่ ผู้ต้องหาจึงนำเรือออกจากท่าที่ประเทศกัมพูชา เข้าพื้นที่ EEZ เขตเศรษฐกิจจำเพาะ มาเลเซีย เพราะผู้ต้องหาชำนาญเส้นทางนี้ ทำให้ตีกรอบการตรวจค้นได้แคบ ประกอบกับชุดทหารเรือช่วยค้นหา โดยใช้ดาวเทียมและสื่อสารขอความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายประมง คอยช่วยแจ้งเบาะแส
กระทั่ง 16 มิ.ย. ช่วง 06.00 น. รับแจ้งจากภาคีเครือข่าย พบเรือรูปพรรณตรงกัน ห่างชายทะเลสงขลา 90 ไมล์ จึงใช้ตำรวจน้ำ 3 ลำไปพิสูจน์ กระทั่ง 15.00 ชัดเจนว่าใช่เรือของกลาง 3 ลำ และชื่อ – นามสกุล ผู้ต้องหา ตรงกัน มีลูกเรือ 8 คน โดยอยู่บนเรือกำไรเงิน 3 คน เรือเจพี 4 คน และเรือดาวรุ่งเพียง 1 คนคอยดูแลเรือแล่นต่อไม่ได้ เนื่องจากขณะนั้นเรือเสีย ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือ คาดหลบหนีต่อ ซึ่งขณะเข้าจับกุมพบว่าเรือกำลังแล่นอยู่กลางทะเล
ส่วนเป้าประสงค์ของกลุ่มผู้ต้องหา ตำรวจเชื่อว่า หวังทั้งน้ำมันของกลางและเรือ เนื่องจากน้ำมันมีมูลค่า 3-4 ล้านบาท ส่วนเรือมีมูลค่ามากถึง 20 ล้าน จึงเป็นเหตุผลที่ผู้ต้องหาพยายามดัดแปลงเรือของกลางจากเดิม เพื่อนำมาใช้ใหม่ ส่วนประเด็นที่เรือของกลาง พบอยู่ในพื้นที่ของปัตตานี เนื่องจากว่าจุดดังกล่าวเป็นพื้นที่ของกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ลักลอบขายน้ำมันเถื่อน ผู้ต้องหาจึงนำเรือออกจากพื้นที่สัตหีบ และมุ่งหน้ามายังบริเวณดังกล่าว ส่วนจะมีความเชื่อมโยงกับทุกคนที่ชื่อ โจ้ ซึ่งปรากฏเป็นข่าวว่ามีความเชื่อมโยงกันนั้นหรือไม่ อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
ด้าน พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.2 บก.ป. ระบุว่าเรือของกลาง 5 ลำที่ถูกจับครั้งแรก มีผู้ต้องหาทั้งหมด 28 คน จากการสืบสวนพบว่า มีนายทุนสองกลุ่มที่เชื่อมโยงกัน ส่วนจะเป็นนายหนุ่ม ระยอง หรือ นายโจ้ ปัตตานี รายละเอียดยังต้องรอการสืบสวนและยังไม่ขอเปิดเผย
ผู้สื่อข่าวนครบาล ทีมข่าวสยามนิวส์ รายงาน