กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ, พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.ประดิษฐ์ เปการี รอง ผบก.ปอท., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ฯ ปรก.บก.ปอท., พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์, พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท. และ พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท.
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.นิธิ ตรีสุวรรณ รอง ผกก.2 บก.ปอท., พ.ต.ท.ณัฐวุฒิ มงคลการ, พ.ต.ต.ชัยเวง พาด้วง, พ.ต.ต.จักรพงษ์ รุ่งจำกัด, พ.ต.ต.วชิรเชษฐ์ อัครธีระพงศ์, พ.ต.ต.กมลภพ หาญเวช สว.กก.2 บก.ปอท., พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. ร่วมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจ ด่าน ตม.เชียงแสน จ.เชียงราย
ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา ดังนี้
1.) นายปกรณ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1440/2567 ลงวันที่ 4 เม.ย.67 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบ, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าว โดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดอาญาอื่นใด”
พฤติการณ์ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 30-31 ม.ค.2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. ได้ทำการสืบสวนจับกุม เครือข่ายหลอกลงทุนเทรดหุ้นทองคำ-น้ำมัน ผ่านเว็ปไซต์ชื่อ “AVATRADE” พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด บช.ก. โดยมี บกป., บก.ปคบ., บก.รน. และ บก.ทล. บูรณาการร่วมกันตรวจค้นจับกุม กลุ่มผู้ร่วมขบวนการการกระทำความผิดดังกล่าว จำนวนทั้งสิ้น 10 จุด โดยแบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 2 จุด, จังหวัดภูเก็ต จำนวน 6 จุด, จังหวัดเชียงราย จำนวน 1 จุด และจังหวัดหนองบัวลำภู จำนวน 1 จุด โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 7 ราย อีกทั้งจากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จำนวนหลายรายการ อาทิเช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (PC) จำนวน 10 เครื่อง, คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก จำนวน 2 เครื่อง, โทรศัพท์ จำนวน 53 เครื่อง (ผูกแอปพลิเคชันธนาคารพร้อมใช้งาน จำนวน 42 เครื่อง), เครื่องใหม่ จำนวน 11 เครื่อง), สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 1,113 เล่ม, บัตรกดเงินสด (ATM) จำนวน 1,065 ใบ, กล่องโทรศัพท์เปล่า จำนวน 77 กล่อง และทรัพย์สินมีค่าอื่นอีกจำนวนหลายรายการ จากการสืบสวนขยายผล ทราบว่า นายปกรณ์ฯ (ผู้ต้องหา) ซึ่งเป็นผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการลำเลียงบัญชีม้าไปยังกลุ่มนายทุนชาวจีน เพื่อใช้เป็นบัญชีม้าในการก่อเหตุหลอกลวงในลักษณะคอลเซ็นเตอร์ ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ (บ้านสบรวก) เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนขยายผล รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องขออนุมัติหมายจับต่อศาล
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ ขณะกำลังข้ามแดนไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน จากนั้น นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ยอมรับในข้อเท็จจริงว่า ตนเองเคยทำงานขับรถรับส่งชาวจีน จากสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ไปส่งที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ (บ้านสบรวก) หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ประกอบกับตนเองสามารถพูดคุยภาษาจีนได้ จากนั้นมีนายทุนชาวจีน ได้ขอที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ของตนไป โดยบอกว่าจะส่งพัสดุ (ซึ่งภายในเป็นอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ พร้อมซิมการ์ดลงทะเบียน และมีการผูกบัญชีธนาคารไทย, บัญชีคริปโต พร้อมใช้งาน) มาที่บ้านของตนและให้ตนนำพัสดุที่ได้รับไปส่งให้กับเครือข่ายของกลุ่มนายทุนจีน บริเวณจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ ได้รับค่าจ้าง ครั้งละ 1,000 บาท โดยทำมานานกว่า 1 ปี
ผู้สื่อข่าวสยามนิวส์ นครบาล รายงาน