นายสมภพ ลวะวิบูลย์ ผู้เสียหายเล่าให้ฟังว่า เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตนได้โพสต์ขายนาฬิกายี่ห้อหรู ต่อมาเดือนเมษายนมิจฉาชีพได้โทรศัพท์มาหา แสดงตัวว่าสนใจอยากจะซื้อนาฬิกาในราคาประมาณ 400,000 กว่าบาท
จากนั้น มิจฉาชีพได้ขอให้ผู้เสียหายไปใช้ขนส่งเอกชนแห่งหนึ่ง โดยมีจุดหมายปลายทางให้ไปส่งที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ้งอ้างว่าในพื้นที่นี้ถ้าใช้ขนส่งนี้จะสะดวกมากกว่า ซึ่งผู้เสียหายก็ไม่ได้เอะใจอะไร ต่อมามิจฉาชีพได้ให้ผู้เสียหายส่งหมายเลขพัสดุส่งมา พร้อมกับขอให้ผู้เสียหายเดินออกมาจากบริษัทขนส่ง
และก็ได้มีการวิดีโอคอลเพื่อตรวจสอบว่าผู้เสียหายได้ออกมาจากขนส่งแล้ว ซึ่งผู้เสียหายก็นั่งรออยู่นาน แต่ก็ยังไม่พบว่ามีเงินโอนเข้ามาในบัญชี ผู้เสียหายจึงได้ไปสอบถามกับพนักงานขนส่งก็ได้ข้อมูลมาว่า มีไรเดอร์มาติดต่อให้ยกเลิกขนส่ง และอ้างว่าลูกค้าจะให้ไรเดอร์เป็นคนไปส่งเอง พนักงานจึงมอบพัสดุให้ไรเดอร์ไป ทำให้ผู้เสียหายแปลกใจว่าทำไมพนักงานถึงทำแบบนั้น ทั้งๆที่ใบเสร็จอยู่ที่ตน
ต่อมา ได้ไปแจ้งความไว้ที่ สน.หลักสอง ซึ่งล่าสุดเมื่อประมาณ 3 วันทีผ่านมา ตำรวจ สน.ท่าข้าม สามารถจับมิจฉาชีพได้แล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการอายัดตัวในแต่ละท้องที่ แต่ปรากฏว่านาฬิกาของตนนั้น พนักงานสอบสวนไม่ได้อายัดไว้เป็นของกลาง ซึ่งตนทราบมาว่า มิจฉาชีพได้ไปขายให้ร้านค้าแห่งหนึ่งไปแล้ว ซึ่งตนก็ได้สอบถามร้านค้า โดยร้านค้าก็บอกว่า ให้เอาเงินมาจ่ายไถ่ของคืนไป
ด้าน นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เปิดเผยว่า หลังจากนี้จะประสานไปยังตำรวจ สน.หลักสอง เพื่อให้ติดตามนาฬิกาของผู้เสียหาย รวมทั้งให้ตรวจสอบไรเดอร์และพนักงานของบริษัทขนส่งว่าเป็นผู้ร่วมขบวนการหรือไม่